วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประวัติแม่ฮ่องสอน

ประวัติความเป็นมา
                แต่เดิมนั้นบริเวณที่ตั้งเมืองแม่ฮ่องสอนปัจจุบันนี้ เป็นเพียงสถานที่ที่มีผู้คนมาปลูกกระท่อมอาศัยอยู่ บริเวณที่ราบริมเชิงเขา เป็นทำเลที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกมาก ผู้คนที่อาศัยตามที่ราบมักจะเป็นชาวไทยใหญ่ ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่บนดอยมักจะเป็นกะเหรี่ยง ลัวะ และมูเซอ บริเวณนี้อยู่ห่างจากแม่น้ำคง (แม่น้ำสาละวิน) ประมาณ 40 กิโลเมตร และมีอาณาเขตติดกับรัฐฉาน ประเทศพม่า ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2374 สมัยเจ้าหลวงพุทธวงศ์ เป็นพระเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และต้องการช้างป่าไว้ใช้งาน จึงให้เจ้าแก้วเมืองมา ซึ่งเป็นญาติพร้อมด้วยกำลังช้างต่อหมอควาญออกเดินทางไปสำรวจและไล่จับช้างป่ามาฝึกใช้งาน เจ้าแก้วเมืองมาจึงยกกระบวนเดินทางรอนแรมจากเชียงใหม่ผ่านไปทางเมืองปาย ใช้เวลาหลายคืนจนบรรลุถึงป่าแห่งหนึ่ง ทางทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำปาย เป็นป่าดงว่างเปล่าและเป็นดินโป่งที่มีหมูป่าลงมากินโป่งชุกชุม เจ้าแก้วเมืองมาพิจารณาเห็นว่า ที่แถวนี้เป็นทำเลที่ดี น้ำท่าบริบูรณ์สมควรที่จะตั้งเป็นหมู่บ้าน จึงหยุดพักอยู่ ณ ที่นี้ และเรียกผู้คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมห้วย ริมเขาซึ่งเป็นชาวไทใหญ่ และกะเหรี่ยง (ยางแดง) มาประชุม ชี้แจงให้ทราบถึงความคิดที่จะตั้งบริเวณนี้ขึ้นเป็นหมู่บ้าน และบุกเบิกที่ดินที่เป็นไร่นาที่ทำมาหากินต่อไป และเจ้าแก้วเมืองมาแต่งตั้งให้ชาวไทใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความรู้ดีกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน ชื่อว่า “ พะกาหม่อง ” ให้เป็น “ ก๊าง ” ( คือตำแหน่งนายบ้านหรือผู้ใหญ่บ้าน) มีหน้าที่คอยควบคุมดูแล และให้คำแนะนำพวกลูกบ้านใน การดำเนินการต่อไป พะกาหม่องได้เป็นผู้ชักชวนเกลี้ยกล่อมพวกที่อยู่ใกล้เคียง ให้ย้ายมาอยู่รวมกัน แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านนั้นว่า บ้านโป่งหมู” โดยถือเอาว่าที่โป่งนั้น มีหมูป่าลงมากินโป่งมากนั่นเอง ปัจจุบันหมู่บ้านนี้ เรียกว่า บ้านปางหมู” อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 6 กิโลเมตร (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 254 8 : 48-4 9)
เมื่อจัดตั้งหมู่บ้านแล้ว เจ้าแก้วเมืองมาก็ยกขบวนออกเดินทางตรวจชายแดน และคล้องช้างป่าต่อไป จนถึงลำห้วยแห่งหนึ่ง มีรอยช้างป่าอยู่มากมาย ก็หยุดคล้องช้างป่าได้หลายเชือก แล้วให้ตั้งคอกสอนช้างในร่องห้วย ริมห้วยนั้นเป็นพื้นที่ราบกว้างขวางพื้นดินดีกว่าบ้านโป่งหมูและมีชาวไทใหญ่ตั้งกระท่อมอยู่เป็นอันมาก เจ้าแก้วเมืองมาพิจารณาเห็นว่า เป็นทำเลที่เหมาะสมพอที่จะตั้งเป็นหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง จึงเรียกชาวไทใหญ่อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรเขยของพะกาหม่อง ชื่อ “ แสนโกม ” มาแนะนำชี้แจงแต่งตั้งให้เป็นก๊าง ให้เป็นหัวหน้าเกลี้ยกล่อมผู้คนให้มาอยู่รวมกัน จนกลายเป็นหมู่บ้านใหญ่ เจ้าแก้วเมืองมาตั้งชื่อหมู่บ้านนั้นว่า “ บ้านแม่ฮ่องสอน ” ซึ่ง ฮ่อง ในภาษาล้านนา คือ ร่อง โดยอาศัยที่ร่องน้ำนั้น เป็นคอกที่ฝึกสอนช้างป่า เมื่อเจ้าแก้วเมืองมาคล้องช้างป่าได้พอสมควรแล้วก็เดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ แล้วกราบทูลให้พระเจ้ามโหตรประเทศ ทราบ (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 254 8 :4 9)
เมื่อเจ้าแก้วเมืองมากลับนครเชียงใหม่แล้วพะกาหม่องและแสนโกมบุตรเขยก็ได้พยายามชักชวนผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ให้อพยพครอบครัวมาตั้งบ้านเรือนอยู่ทำมาหากินจนแน่นหนาขึ้นเป็นหมู่บ้านใหญ่ และต่อมาเห็นว่าบริเวณนั้นมีไม้สักมาก พะกาหม่องและแสนโกม เห็นว่าหากตัดเอาไม้สักนั้นไปขายประเทศพม่าโดยใช้วิธีชักลากลงลำห้วย แล้วปล่อยให้ไหลลงแม่น้ำคง(แม่น้ำสาละวิน) ก็คงได้เงินมาช่วยในด้านเศรษฐกิจและการบำรุงบ้านเมือง เมื่อปรึกษาหารือกันดีแล้วพะกาหม่องและแสนโกม จึงเดินทางเข้ามาเฝ้าพระเจ้ามโหตรประเทศฯ ที่นครเชียงใหม่ กราบทูลขออนุญาตตัดฟันชักลากไม้ไปขายแล้วจะแบ่งเงินค่าตอบแทนถวายตลอดปี พระเจ้ามโหตรประเทศฯก็ทรงอนุญาต พะกาหม่องและแสนโกม จึงทูลลากลับ และเริ่มลงมือทำไม้ขอนสักส่งไปขายที่เมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่าได้เงินมาก็เก็บแบ่งถวายพระเจ้ามโหตรประเทศทุกปี นอกนั้นก็ใช้ประโยชน์ส่วนตัวและบำรุงบ้านเมือง (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 254 8 :4 9)
ครั้นถึงพ.ศ. 2397 พระเจ้ามโหตรประเทศฯถึงแก่พิลาลัย เจ้ากาวิโลรสซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าหัวเมืองแก้วได้เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่แทน ทรงนามว่า “ พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ ” ใน พ.ศ. 2399 พะกาหม่อง และแสนโกม ก็ยังคงทำป่าไม้และส่งเงินไปถวายทุกปี พะกาหม่องกับแสนโกมจึงมีฐานะดีขึ้น และหมู่บ้านโป่งหมูและบ้านแม่ฮ่องสอนก็เจริญขึ้นตามลำดับ ในครั้งนั้นหัวเมืองไทใหญ่ตามแถบตะวันตกฝั่งแม่น้ำคง(แม่น้ำสาละวิน) เกิดการจลาจลเกิดรบราฆ่าฟัน จึงมีชาวไทใหญ่อพยพครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านปางหมูหรือโป่งหมู และบ้านแม่ฮ่องสอนมากขึ้น บางพวกก็ลงไปอาศัยอยู่ที่บ้านขุนยวม (หมู่บ้านไทใหญ่บนเขา) บางพวกอพยพเลยขึ้นไปทางเหนือ ไปอยู่ที่เมืองปาย กลุ่มพวกไทใหญ่ที่อพยพเข้ามานี้ มีผู้หนึ่งชื่อว่า “ ชานกะเล ” เป็นชาวเมืองจ๋ามกา เป็นคนขยันขันแข็งชานกะเลเข้ามาอาศัยที่บ้านปางหมู และช่วยพะกาหม่องทำไม้ด้วยความซื่อสัตย์ และตั้งใจทำงานโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก พะกาหม่องไว้วางใจและรักใคร่มาก ถึงกับยกลูกสาวชื่อนาง ใส ให้เป็นภรรยา นางใส มีบุตรกับชานกะเลคนหนึ่งชื่อนางคำ (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 254 8 : 49-50)
กาลเวลาผ่านไปหมู่บ้านปางหมู และบ้านแม่ฮ่องสอนก็มีผู้คนมาอาศัยหนาแน่นยิ่งขึ้น และในปี พ.ศ. 2409 นั่นเอง มีเหตุการณ์สำคัญที่ชักนำเอาบุคคลสำคัญของชาวไทใหญ่ให้มาอพยพอยู่ในแม่ฮ่องสอนอีกคือเจ้าฟ้าเมืองนายมีเรื่องขัดเคืองกับ เจ้าฟ้าโกหล่านเจ้าเมืองหมอกใหม่ จึงได้ยกทัพมาตีเมืองหมอกใหม่แตก เจ้าฟ้าโกหล่านเจ้าเมืองหมอกใหม่จึงพาครอบครัวอพยพเข้ามาอาศัยอยู่กับแสนโกมที่บ้านแม่ฮ่องสอน เจ้าฟ้าโกหล่านมีภรรยาชื่อ นาง เกี๋ยง มีบุตรชายชื่อ เจ้าขุนหลวง มีหลาน 4 คนเป็นชาย 1 หญิง 3 ชายชื่อ ขุนแจหญิงชื่อ เจ้าหอม เจ้านางนุ เจ้านางเมี้ยะ เมื่อเจ้าฟ้าโกหล่านมาอาศัยอยู่ด้วย แสนโกมได้มีหนังสือทูลให้พระเจ้ากาวิโลรสฯ ทราบพระเจ้ากาวิโลรสฯ จึงรับสั่งให้ส่งตัวเข้าเฝ้า แต่เจ้าฟ้าโกหล่านป่วย จึงส่งเจ้าขุนหลวงบุตรไปแทน พระเจ้ากาวิโลรส โปรดเจ้าขุนหลวงทรงยกเจ้าอุบลวรรณาผู้เป็นหลานให้เป็นภรรยาอยู่กินด้วยกันที่เชียงใหม่ จนมีบุตรคนหนึ่งชื่อ เจ้าน้อยสุขเกษมและอนุญาตให้เจ้าฟ้าโกหล่านอาศัยอยู่ในเขตแดนต่อไป ต่อมานางใส ภรรยาของชานกะเลถึงแก่กรรม เจ้าฟ้าโกหล่านจึงทรงยกเจ้านางเมี๊ยะหลานสาวคนเล็กให้เป็นภรรยาของชานกะเล ชานกะเลได้ไปตั้งเมืองอยู่บนภูเขาอีกแห่งหนึ่งทางเหนือต้นแม่น้ำยวม เรียกว่า เมืองขุนยวม ต่อมาในปี พ.ศ. 2417 พระเจ้าอินทวิชยานนท์ฯ ทรงแต่งตั้งให้ ชานกะเลเป็น “ พญาสิงหนาทราชา ” เป็นพ่อเมืองคนแรก และยกฐานะหมู่บ้านแม่ฮ่องสอนขึ้นเป็นเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นเมืองหน้าด่านต่อไป และยกเมืองปาย เมืองขุนยวมเป็นเมืองรอง (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2549: 50)
พญาสิงหนาทราชา ได้ปกครองเมืองและพัฒนาเมืองแม่ฮ่องสอนให้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการขุดคูเมืองและสร้างประตูเมืองขึ้นอย่างมั่นคง จนถึง พ.ศ. 2427 พญาสิงหนาทราชาได้ถึงแก่กรรม เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้แต่งตั้งเจ้านางเมี๊ยะผู้เป็นภรรยาของพญาสิงหนาทเป็นเจ้านางเมวดีขึ้นปกครองแทน ชาวแม่ฮ่องสอนเรียกเจ้านางเมวดีว่า “ เจ้านางเมี๊ยะ ” โดยให้ปู่โทะ (พญาขันธเสมาราชานุรักษ์) เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ต่อมา พ.ศ. 2434 เจ้านางเมี๊ยะถึงแก่กรรม พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ปกครองนครเชียงใหม่ จึงแต่งตั้งพญาขันธเสมาราชานุรักษ์ เป็นพญาพิทักษ์สยามเขต ให้ปกครองเมืองแม่ฮ่องสอน จนถึงพ.ศ. 2433 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาศรีสหเทพปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจราชการพื้นที่หัวเมืองมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือจึงจัดระบบการปกครองใหม่เป็น รวมเมืองแม่ฮ่องสอน เมืองขุนยวม เมืองปาย และเมืองยวม (แม่สะเรียง) เป็นหน่วยเดียวกันเรียกว่า “ บริเวณเชียงใหม่ตะวันตก ” ตั้งที่ว่าการแขวง (เทียบเท่าเมือง) ที่เมืองขุนยวม โดยแต่งตั้งนายโหมดเป็นนายแขวง (แจ้งความเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 11 กรกฎาคม ร.ศ. 119 ) และในปีเดียวกันนี้เมืองเชียงใหม่ได้แต่งตั้งขุนหลู่บุตรของพญาพิทักษ์สยามเขต เป็นพญาพิศาลฮ่องสอนบุรี พ.ศ. 2446 ได้ย้ายที่ว่าการแขวงจากเมืองขุนยวม ไปตั้งที่เมืองยวมแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น “ บริเวณพายัพเหนือ ” จนถึง ปี พ.ศ. 2556 พญาพิทักษ์สยามเขตถึงแก่กรรม เมืองเชียงใหม่จึงแต่งตั้ง พญาพิศาลฮ่องสอนบุรีขึ้นปกครองเมืองแทน พ.ศ. 2453 รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ตั้งเมืองจัตวาขึ้นกับมณฑลพายัพ ย้ายที่ว่าการแขวงจากเมืองยวมมาตั้งที่แม่ฮ่องสอนให้ชื่อว่า “ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ” แล้วโปรดเกล้าฯให้พระศรสุรราช (เปลื้อง) มาปกครองเมืองแม่ฮ่องสอน ถือว่าเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนคนแรก
แหล่งที่มา : 
https://goo.gl/2y7LvI

แหล่งที่มา :  http://goo.gl/GW5esF








แหล่งที่มา :  http://goo.gl/TWRiAz




ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดแม่ฮ่องสอน

                สัญลักษณ์ประจำจังหวัด รูปช้างในท้องน้ำ
                คำขวัญประจำจังหวัด : หมอกสามฤดู     กองมูเสียดฟ้า 

                                                      ป่าเขียวขจี          ผู้คนดี 
                                                      ประเพณีงาม      ลือนามถิ่นบัวตอง
                ต้นไม้ประจำจังหวัด : กระพี้จั่น (Millettia brandisiana)
                ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกบัวตอง (
Tithonia diversifolia)
                สัตว์น้ำประจำจังหวัด : กบทูดหรือเขียดแลว (
Limnonectes blythii)

ประชากร
                ประชากรในจังหวัดแม่ฮ่องสอนขึ้นชื่อว่ามีความหลากหลาย ทั้งคนเมือง ชาวไต(ไทใหญ่)จีนฮ่อพม่า และชาวเขาเผ่าต่างๆ ราวร้อยละ 60 ของประชากรทั้งหมด ได้แก่ ม้ง (แม้ว)ลีซู (ลีซอ)ล่าหู่ (มูเซอ)ลัวะและ ปกาเกอะญอ(กะเหรี่ยง) เป็นต้น โดยต่างรักษาวัฒนธรรมของตนเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็อยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านที่มีวัฒนธรรมที่ต่างกันได้โดยไม่เคยปรากฏความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมแต่อย่างใด
                
ด้วยความหลากหลายของเชื้อชาติดังกล่าวนี้ ประชากรในแม่ฮ่องสอนจึงมีการใช้ภาษาที่หลากหลายด้วย โดยในชาติพันธุ์ต่างๆก็จะพูดภาษาต่างกัน โดยแบ่งเป็นใหญ่ๆได้ดังนี้


ประชากรในจังหวัด


อาณาเขต

พื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีอาณาเขตโดยรอบ ดังนี้
                ทิศเหนือ จรดประเทศพม่า
                ทิศตะวันออก จรดจังหวัดเชียงใหม่
                ทิศใต้ จรดจังหวัดตาก
                ทิศตะวันตก จรดประเทศพม่า โดยมีแม่น้ำสาละวินคั่นเป็นบางช่วง

หน่วยการปกครอง

การปกครองแบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 45 ตำบล 402 หมู่บ้าน
1.             อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน
2.             อำเภอขุนยวม
3.             อำเภอปาย
4.             อำเภอแม่สะเรียง
5.             อำเภอแม่ลาน้อย
6.             อำเภอสบเมย
7.             อำเภอปางมะผ้า

แหล่งที่มา : https://goo.gl/2y7LvI

สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

วัดพระธาตุดอยกองมู

                ตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เดิมชื่อ "วัดปลายดอย" เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญ ประกอบไปด้วยพระธาตุเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ 2 องค์ และวิหารพระศิลปะไทใหญ่ เจดีย์องค์พี่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2403 โดยจองต่องสู่ พ่อค้าชาวไต ภายในบรรจุพระธาตุของพระมหาโมคคัลลานะเถระ ซึ่งอัญเชิญมาจากพม่า ส่วนองค์น้องสร้างโดยพญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนท่านแรก ฐานเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดปางต่าง ๆ เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมาช้านาน นอกจากกราบขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว ยังสามารถชมวิวตัวเมืองแม่ฮ่องสอนในมุมสูงที่สุด นับว่าเป็นภาพที่สวยงดงามมากเลยทีเดียว          



ปางอุ๋ง

           เดิมทีเคยเป็นสถานที่ปลูกฝิ่นของชาวเขา ต่อมาได้รับการพัฒนาตามทฤษฎีสวนแบบปางอุ๋ง จนกลายมาเป็น "สวรรค์บนดิน" อันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชสมุนไพร พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวหลากหลายสีสัน ตลอดจนดงสนสองใบที่เติบโตเรียงรายตลอดแนวอ่างเก็บน้ำปางตอง ที่ถือเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมเก็บภาพประทับใจ ยิ่งในยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านทิวสนลงมาเป็นลำ ๆ จะช่วยเพิ่มความงดงามและความโรแมนติกมากยิ่งขึ้นสมชื่อสวรรค์บนดินเสียจริง ๆ จึงไม่แปลกใจที่ถูกนำไปเป็นฉากประทับใจในหนังหลาย ๆ เรื่อง สภาพอากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งปี ยิ่งโดยเฉพาะในฤดูหนาวนักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลเข้ามาเก็บบรรยากาศความโรแมนติกและดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสวยงามที่มีไอหมอกลอยอยู่เหนือทะเลสาบกันแห่งนี้กันอย่างมีความสุข



ภูโคลน คันทรีคลับ

                หากเที่ยวกันจนเมื่อยแล้วก็อยากชวนให้แวะมาดูแลสุขภาพกันสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นนวดกระชับผิว แช่น้ำแร่ พอกโคลน อบซาวน่า ที่ "ภูโคลน คันทรีคลับ" ณ โป่งเดือดแม่สะงาแห่งนี้ โคลนของที่นี่เขาไม่ธรรมดา เพราะได้รับการจัดอันดับให้เป็นแหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย และเป็นแหล่งโคลน 1 ใน 3 แหล่ง ของโลกที่มีแร่ธาตุหลักที่เหมือนกันรองจากทะเลสาบเดดซี และโคลนภูเขาไฟจากประเทศโรมาเนีย จากโครงการ Unseen in Thailand และ Spa in Paradise ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเลยทีเดียวนะ โดยเป็นโคลนเดือดบริสุทธิ์สีดำที่มาจากสายน้ำแร่ใต้ดินที่สะอาด ชและไม่มีกลิ่นของกำมะถัน ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนังและระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์ สามารถดูดซับสารพิษตกค้าง ล้างความมันส่วนเกินบนใบหน้า สิ่งสกปรกที่อุดตันตามผิวหนังอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวและรอบหมองคล้ำ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ดูแลความงามอีกมากมาย อาทิ โคลนผงพอกหน้า โลชั่นน้ำแร่ สบู่ภูโคลน ครีมอาบน้ำสครับ ที่มีให้คุณเลือกสรรไปประทินผิวของคุณได้ตามใจชอบ


บ้านรักไทย

               บ้านบรรยากาศสุดอบอุ่น เดิมชื่อ "บ้านแม่ออ" ชุมชนชาวจีนยูนนาน ลูกหลานทหารกองพล 93 ที่เดินทางมากจากตอนใต้ของจีนเมื่อหลาย 10 ปี ก่อน ปัจจุบันอาศัยอยู่ร่วมกันกับพี่น้องชาวไทใหญ่และชาวไทยภูเขาเผ่าอื่น ๆ โดยบรรยากาศภายในจะมีอ่างน้ำขนาดใหญ่ใจกลางหมู่บ้าน และถูกรายล้อมไปด้วยบ้านดินชั้นเดียวมุงหลังคาด้วยใบตองสไตล์จีนที่ถูกดัดแปลงนำมาเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก บางหลังก็ดัดแปลงเป็นร้านอาหาร ที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังได้ชมทิวทัศน์ของทิวเขาที่งดงาม ตลอดจนเพลินตาไปกับไร่ชาแบบขั้นบันไดไล่ระดับประทับใจยิ่งนัก พร้อมพักทานอาหารตำรับจีนยูนนานจานเด็ด อาทิ ขาหมู-หมั่นโถว หมูพันปี ไก่ตุ๋นยาจีน ยำใบชาสด ชาอู่หลง ชาเจียวกู่หลัน ชายอดน้ำค้าง ชาดอกเหมย และของอร่อยอีกมากมาย รับรองว่ามาแล้วจะติดใจ



อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์

                ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ บริเวณท้องที่อำเภอขุนยวมและอำเภอเมือง เป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม สภาพพื้นที่เป็นป่าเขาเรียงรายสลับซับซ้อน มีภูเขาหินและหน้าผาน้อยใหญ่สูงชันในลักษณะที่แตกต่างกันและคล้ายกันหลายแห่ง นับเป็นสุดยอดน้ำตกที่สวยงามและมีความสูงมากที่สุดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน อันเป็นต้นกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่อุดมสมบูรณ์ โดยลักษณะของน้ำตกที่นี่จะมีขนาดใหญ่ เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่ไหลจากหน้าผาลงสู่หุบเขาด้านล่าง ซึ่งมีความสูงประมาณ 100 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี
                 โดยจะมีจุดชมน้ำตกอยู่ 2 แห่ง คือ ชมจากศาลาชมวิวบนยอดดอยที่ทางอุทยานฯ เตรียมไว้ให้ โดยจะเห็นน้ำตกจากระยะไกล และจะได้ยินเสียงน้ำตกที่ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งผืนป่าที่ทำให้คุณต้องหลงใหลจนไม่อยากกลับเลยทีเดียว ส่วนอีกจุดจะใกล้ชิดกับน้ำตกมากกว่า แต่ทว่าต้องใช้เวลาและความพยายามในการเดินทางพอสมควร อีกทั้งจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเพราะอยู่ในหุบเขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าอยากสัมผัสความงามของน้ำตกแบบใกล้ ๆ อดทนเดินหน่อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอกว่าไหมจ๊ะ




ภูชี้เพ้อ

                 ภูชี้เพ้อตั้งอยู่ในหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด อำเภอขุนยวม ใกล้กับทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ ในระดับความสูง 1818 เมตร จากระดับน้ำทะเล ถือเป็นจุดชมวิวแห่งใหม่ที่พึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้ มีความน่าสนใจตรงที่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์และไอหมอกที่งดงามอีกแห่ง ตลอดจนมีทิวทัศน์ของขุนเขาอันสลับซับซ้อนที่สวยงาม ยิ่งเฉพาะในช่วงเวลาที่ดอกบัวตองบานคุณจะมองเห็นวิวทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอในมุมสูงที่บานเหลืองอร่ามทั่วดอย ช่างเป็นวิวที่ได้อารมณ์โรแมนติกมาก ๆ อย่างไรก็ตามบนหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอดมีบ้านพักแต่ยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ มีจุดกางเต็นท์แต่ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นัก แนะนำให้พักตามที่พักหรือกางเต็นท์บริเวณทุ่งดอกบัวตองหรือในตัวอำเภอขุนยวมจะดีกว่า และอยากแนะนำอีกว่าให้เดินทางมาด้วยรถกระบะจะสะดวกกว่ารถเก๋ง เพราะเส้นทางบางช่วงมีความลาดชันไม่สามารถขึ้นไปได้จ้า



อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง

                ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีจุดชมวิวบริเวณห้วยน้ำดัง (ดอยกิ่วลม) ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามและมีชื่อเสียงมาก อีกทั้งยังสามารถมองเห็นดอยเชียงดาว และคอยชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกในช่วงเช้าตรู่ได้ ซึ่งทะเลหมอกที่ห้วยน้ำดังแห่งนี้ขึ้นชื่อว่ามีความสวยงดงามมาก จนได้รับการโหวตให้เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ในช่วงปลายฤดูหนาวคุณจะได้พบกับดอกไม้ที่กำลังจะเบ่งบานนับว่าเป็นภาพที่สวยงดงามไม่สามารถหาที่ใดเปรียบได้ มากกว่านั้นอยากแนะนำให้แวะ พระตำหนักเอื้องเงิน ชมไม้เมืองหนาวหลากสีสัน หรือจะไป ดอยช้าง เพื่อดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์ พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ และไป น้ำตกห้วยน้ำดัง น้ำตกแม่เย็น ให้ชุ่มฉ่ำปอดก่อนกลับบ้านกันด้วย


ดอยพุยโค

                   "ดอยพุ่ยโค" หรือ "ดอยพุย" (ภาษาท้องถิ่นของชาวกระเหรี่ยง) ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงที่ 1406 เมตร จากระดับน้ำทะเล  ห่างจากที่ว่าการอำเภอสบเมย ประมาณ 10 กิโลเมตร ดอยพุ่ยโคขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทุ่งหญ้าสีทอง มีวิวทิวทัศน์งดงามเหนือคำบรรยาย ผสานกับความอลังการของทะเลหมอกเกือบ 360 องศา ที่นี่สามารถชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดิน ในยามค่ำคืนจะมองเห็นดวงดาวสว่างไสวกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า สามารถเดินเท้าขึ้นมาได้ไม่ไกล ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร โดยจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ก็จะถึงยอดดอย ทั้งนี้อาจจะมีบางช่วงที่เป็นทางชัน แต่ถือว่าไม่ยากสำหรับนักเดินตัวยง ขึ้นไปแล้วจะหายเหนื่อยเพราะจะได้พบกับความสวยงามของทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า ขุนเขาที่เรียงตัวสลับโทนสี จนลืมระยะทางที่เดินขึ้นมาเลยล่ะจะบอกให้ หากต้องการชมทุ่งหญ้าสีทองแนะนำให้มาช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์นะจ๊ะ
 แหล่งที่มา : http://goo.gl/QzJYgr

แหล่งที่มา : http://goo.gl/bNo4yj

ประเพณีประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน

งานประเพณีปอยส่างทอง หรืองานบวชลูกแก้ว 

                
เป็นประเพณีตามธรรมเนียมชาวไทยใหญ่ซึ่งถือได้ว่า กุศลแรงกว่าการบวชพระ จัดให้มีขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ตรงกับปิดเทอมฤดูร้อน โดยชาวบ้านจะตกลงกันกำหนดวันนัดหมายให้ลูกหลานได้บวชเรียนพร้อมๆกัน โดยผู้ที่จะบวชเณรจะมีการแต่งกายด้วยเครื่องประดับมีค่าอย่างสวยงาม และประกอบพิธีบวชที่วัดก้ำก่อ ตรงข้ามทางขึ้นพระธาตุดอยกองมู
แหล่งที่มา : http://goo.gl/EfT6Cq

แหล่งที่มา : http://goo.gl/puDsVy

งานประเพณีจองพารา

                เป็นประเพณีออกพรรษาหรืองานปอยเหลินสิบเอ็ด จัดขึ้นในวันขึ้น13-14 ค่ำ เดือนสิบเอ็ดจะมีงานตลาดนัดทั้งวันทั้งคืน เพื่อให้ชาวบ้านไปจับจ่ายเตรียมไปทำบุญที่วัดในวันขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งในวันนั้นมีการตักบาตรเทโว การแห่จองพารา หรือปราสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า
แหล่งที่มา : http://goo.gl/EfT6Cq

แหล่งที่มา : http://goo.gl/VhpjPs\\

งานเทศกาลชิมชาบ้านรักไท 

                
จัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ บริเวณหมู่บ้านรักไท อำเภอเมือง   เนื่องจากราษฎรมีอาชีพปลูกใบชา ดังนั้นทศกาลชิมชานี้ จึงจัดขึ้นเพื่อเป็น การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกชา และส่งเสริมการท่องเที่ยว
แหล่งที่มา : http://goo.gl/EfT6Cq


แหล่งที่มา : http://goo.gl/GXw9iV

ประเพณีลอยกระทง หรืองานเหลินสิบสอง 

                
จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสอง โดยชาวบ้านจะจัดทำกระทงเล็กๆ ไปลอยตามแม่น้ำ มีการประกวดกระทงใหญ่ที่หนองจองคำ ซึ่งเป็นหนองน้ำสาธารณะกลางเมือง มีการแสดงมหรสพรื่นเริง ตามบ้านเรือนจะมีการจุดประทีปโคมไฟสว่างไสว
แหล่งที่มา : http://goo.gl/EfT6Cq

แหล่งที่มา : http://goo.gl/dRaeRQ

งานเทศกาลดอกบัวตอง 

                
จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ที่อำเภอขุนยวม ในงานมีการละเล่นและมหรสพพื้นเมืองและร่วมสมัย มีการประกวดธิดาบัวตอง การแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาวไต และชาวไทยภูเขา การจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง การแข่งขันกีฬาชาวดอย 
แหล่งที่มา : http://goo.gl/EfT6Cq



แหล่งที่มา : http://goo.gl/DSd6yi

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาหารและขนมประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน

แกงฮังเล

แกงฮังเลมี 2 ชนิด คือ แกงฮังเลม่าน และ แกงฮังเลเชียงแสน เชื่อกันว่าเป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากพม่า สำหรับแกงฮังเลเชียงแสนจะแตกต่างตรงที่มีถั่วฝักยาว มะเขือยาว พริกสด หน่อไม้ดอง งาขาวคั่ว เพิ่มเข้ามา (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, หน้า 490) และใช้เป็นส่วนผสมของแกงโฮะ (เทียนชัย สุทธนิล, สัมภาษณ์, 19 มิถุนายน 2550)


 แหล่งที่มา : http://goo.gl/gYGZmh

ขนมวง

ขนมวง คือขนมที่ทำด้วยแป้งเป็นรูปวงกลมแบบเดียวกับขนมโดนัท มีน้ำอ้อยหยอดไปโดยรอบตามกึ่งกลางด้านบน ปัจจุบัน ไม่คอยมีขายในท้องตลาดในเมือง แต่มักจะพบในตลาดแถวชานเมือง (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, หน้า 824)


 แหล่งที่มา : http://goo.gl/FaUtCq

ขนมส่วยทะมิน

ขนมส่วยทะมิน ทำจากข้าวเหนียว นำมานึ่งแล้วนำไปกวนจากนั้นก็ใส่น้ำตาล กวนจนให้เหนียว แล้วตักใส่ถาด นำน้ำกะทิมาเทบนหน้าขนมแล้วนำไปอบจนเกรียมทั้งไฟล่างและบนพร้อมๆกัน จึงปรากฏเป็นรอยไหม้อยู่ด้านบนของหน้าขนม สีออกดำๆนิดๆ เข้าใจว่าทะมินน่าจะมาจากสีตรงนี้ครับ ขนมส่วยทะมินผมชอบมากที่สุด อร่อยหอมหวานมัน ไปอีกจะไปกินเยอะเลย


 แหล่งที่มา : http://goo.gl/qpd9gh

ขนมเป็งม้ง

ขนมไทยใหญ่อีกตัวคือเป็งม้งหรือเบ็งม้ง หรือจะเรียกเค้กไทยใหญ่ ทำจากแป้งข้าวเจ้า น้ำอ้อย และอบแบบขนมหม้อแกงด้วยไฟล่างพร้อมไฟบนแล้วราดกะทิที่เคี่ยวกับน้ำตาล ทำให้อร่อยและสีออกไปทางน้ำตาลอ้อย ผมชิมเป็งม้งแล้วไม่ค่อยถูกปากนักเพราะปกติไม่ชอบกินขนมเค้ก



 แหล่งที่มา : http://goo.gl/qpd9gh

ข่างปอง

ข่างปอง (มะละกอ, หัวปลี ,กะหล่ำปลี) นิยมรับประทานเป็นอาหารว่างของชาวไทยใหญ่ เครื่องปรุง ประกอบด้วย มะละกอดิบ หรือหัวปลี หรือ กะหล่ำปลี กะปิ พริก กระเทียม หอมแดง ถั่วเน่า ตะไคร้ แป้งข้าวเจ้า และแป้งข้าวเหนียว อย่างละครึ่งส่วน เกลือ ชูรส นิดหน่อย วิธีปรุง โขลกเครื่องปรุง ทั้งหมด ให้ละเอียด มะละกอ หั่นเป็นชิ้นบาง ยาว ๒-๓ นิ้ว ล้างน้ำให้สะอาด นำเครื่องปรุงที่โขลก ลงคลุกกับมะละกอที่เตรียมไว้ ให้เข้ากัน นำแป้งทั้ง สองชนิด ลงคลุกเคล้า ปรุงรส เติมน้ำนิดหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ส่วนผสมไม่เหลว ให้เหนียวพอดี ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน ตั้งให้ร้อน นำส่วนผสมที่ได้ ลงทอด ให้เหลืองกรอบรับประทานกับน้ำจิ้มอาจาด
 แหล่งที่มา : http://goo.gl/7A2yzB


แหล่งที่มา : http://goo.gl/UZtQOc